วันศุกร์ที่ 20 เมษายน พ.ศ. 2555

อานิสงส์ของทาน

อานิสงส์ของทาน
จาก หนังสือ บารมี ๑๐

การให้ทานนี้อย่าลืมนะว่าถ้าใจยังไม่หนักแน่นพอ คนที่เรายังไม่ชอบใจอย่าเพิ่งให้ ให้แต่คนที่เรารักหรือคนที่เราไม่เกลียด ต่อไปถ้ากำลังใจสูงขึ้น จิตสบาย มีอุเบกขาดี มีเมตตาบารมีสูงก็ให้ไม่เลือก ให้เพื่อปลดเปลื้องความทุกข์ คือกิเลสของเรา กำลังใจในการให้ทานน่ะเป็นจาคานุสสติ  ก่อนที่จะคิดให้เป็นจาคานุสสติ  อันนี้อนุสติอย่างใดอย่างหนึ่ง ถ้ามีประจำใจแล้วมันก็ตกนรกไม่ได้

จะยกตัวอย่าง มันก็ยาวเกินไป จะขอพูดถึง อานิสงส์การให้ทาน  ที่สมเด็จพระพิชิตมารทรงตรัสว่า   สมัยพระพุทธกัสสปท่านเทศน์อย่างนี้ ท่านบอกว่า

บุคคลใดให้ทานด้วยตนเอง แต่ไม่ชักชวนคนอื่น ตายจากชาตินี้ไปแล้วไปเกิดใหม่จะมีทรัพย์สมบัติมาก จะเป็นคนร่ำรวย เป็นเศรษฐี มหาเศรษฐี  แต่ว่าขาดเพื่อน  ขาดคนที่เป็นที่รัก  มันก็โดดเดี่ยวแย่เหมือนกัน

บุคคลผู้ใดดีแต่ชักชวนบุคคลอื่น แต่ว่าตนเองไม่ให้ทาน ท่านบอกว่าตายจากชาตินี้ไปแล้วไปเกิดชาติใหม่  มีพรรคพวกมาก  แต่ยากจน

บุคคลใดให้ทานด้วยตนเองแล้วก็ชักชวนบุคคลอื่นด้วย ตายจากชาตินี้ไปเกิดใหม่จะเป็นคนร่ำรวยมากด้วย  แล้วก็จะมีเพื่อนมีบริวารมีมิตรสหายมาก นี่เรียกว่ามีความสุข

บุคคลใดไม่ให้ทานด้วยตนเอง  ไม่ชักชวนบุคคลอื่นด้วย  ตายจากชาตินี้ไปเกิดใหม่ จะไม่มีทรัพย์สมบัติเป็นคนยากจนเข็ญใจ เป็นยาจก ขอทาน แล้วขอก็ไม่ค่อยจะได้ ไม่มีใครเขาอยากจะให้ มีแต่คนรังเกียจ

การให้ทานที่ก่อนจะถึงนิพพานน่ะ  เราจะต้องมีความสุขในทรัพย์สมบัติก่อน จะไปคิดว่าการให้ทานเป็นการกำจัดโลภะ ความโลภ  หรือมีผลอันน้อยแค่กามาวจรอันนี้ไม่ถูก ถ้าเราจะไปนิพพาน ถ้าเราลำบากมันไปยาก ใจไม่สบาย จะเล่านิทานสักเรื่องหนึ่ง เอาไหม  มันจะช้าก็ช้า  จะจบเมื่อไรก็ช่าง  ก็เล่าสู่กันฟัง

ในสมัยองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ายังมีพระชนม์อยู่ มีคนหนึ่งเขามาเกิด แต่คนคนนี้น่ะในชาติก่อน ๆ เวลาบำเพ็ญบารมีตัดทานบารมีออกจากใจ  แต่ความจริงเขาก็ไม่อยากได้ทรัพย์สมบัติของใคร  ตัวนี้เขาไม่ได้ให้  แต่จิตเขาละความโลภ คือละความอยากได้ทรัพย์สมบัติของบุคคลอื่นที่ใครไม่ให้เขาโดยชอบธรรมน่ะเขาไม่เอา เขาไม่อยากได้ แต่ว่าเขาไม่ให้ทาน ที่ว่า "ทานัง สัคคโส ปาณัง"  ที่พระพุทธเจ้าทรงตรัสว่า "ทานเป็นบันไดให้ไปเกิดบนสวรรค์"  เขาบอกว่ามันต่ำไป เอาบุญที่เป็นปรมัตถบารมีดีกว่า คือ

1. มีศีลบริสุทธิ์

2. สมาธิตั้งมั่นก็ระงับนิวรณ์

3. มีปัญญาแจ่มใส เพื่อตัดกิเลส

ก็เป็นการบังเอิญว่าชาตินั้นเขายังไม่ได้เป็นพระอริยเจ้าก็ต้องตายจากความเป็นคน  ไปเกิดเป็นเทวดา  ก็สงสัยอาจจะเป็นเทวดาคนจนก็ได้  ทิพยสมบัติอาจจะสู้ชาวบ้านเขาไม่ได้ ทีนี้ก็กลับมาเกิดใหม่ มาเกิดเป็นลูกหญิงแพศยา เป็นโสเภณี

โสเภณีเวลานั้นถือว่าเป็นตระกูล  เป็นอาชีพอาชีพหนึ่ง สังคมหรือสมาคมหนึ่ง แต่ว่าโสเภณีน่ะเขาต้องการเฉพาะลูกผู้หญิง เขาไม่เหยียดหยามเหมือนสมัยนี้ว่าโสเภณีเลวไม่ใช่อย่างนั้น เขาถือว่าโสเภณีก็เป็นตระกูลหนึ่งที่มีศักดิ์ศรี พอออกมาเป็นลูกผู้ชาย เขาไม่ต้องการ เขาก็เลยไปหมกป่าไว้ ทิ้งปล่อยให้ตาย ก็สืบตระกูลเป็นโสเภณีไม่ได้

เวลานั้นโสเภณีผู้ชายยังไม่มี  ถ้าบังเอิญมีโสเภณีผู้ชายอย่างสมัยนี้ บางประเทศก็จะหากินคล่องเหมือนกัน เป็นการบรรเทาความเดือนร้อนของบุคคลแต่ละคน

ก็รวมความว่าเขาเกิดมาไม่มีความสุข ถูกปล่อย แต่เขาก็ไม่ตาย เขาไม่ตายเพราะอะไร เพราะว่ามีบุญรักษา เขาจะเป็นอรหันต์ในชาตินี้ เขาถูกหมกอยู่อย่างนั้นไม่ตาย ถูกแวดล้อมไปด้วยสัตว์รักษาไว้ จนกระทั่งเป็นหนุ่มเดินไปเดินมา เดินเที่ยวไปก็ไม่มีอะไรจะกิน  แต่บุญรักษาเติบโตขึ้นมาได้โดยไม่ต้องกินอาหาร

ต่อมาวันหนึ่งเดินเข้าไปชายป่า เห็นคนเขาเอาอะไรมาฝังไว้ เป็นลูกเขาออก เอารกมาฝังก็แอบดู พอเขาไปแล้วก็ย่องเข้าไปขุดเห็นรกเด็ก เลยนำรกมากิน ในชีวิตเขาได้กินเท่านั้นอย่างเดียว นี่การขาดทานบารมี หลังจากนั้นก็เดินไปเดินมาเห็นพระท่านมีความสุข เลยขอบวช พระอุปัชฌาย์ก็ให้บวช

ในเมื่อบวชแล้วเวลาบิณฑบาตตอนเช้า  พระใหม่ก็ต้องเดินข้างหลังตามระเบียบ  เพราะเดินตามอาวุโส  ชาวบ้านใส่บาตรจากหน้า พอจะถึงองค์หลังข้าวหมดพอดี นี่อานิสงส์ของการไม่ให้ทาน ท่านก็เดือดร้อน ไม่ได้กินข้าว อุปัชฌาย์ต้องแบ่งให้  ถึงอุปัชฌาย์จะแบ่งให้  หาเองไม่ได้  ใจก็ไม่สบาย

วันที่สอง  ท่านอุปัชฌาย์บอกว่า "วานนี้เขาใส่หน้าไม่ถึงหลัง วันนี้คุณเดินข้างหน้า  ทุกคนใส่จะต้องถึงคุณ"  แต่ความจริงพระอุปัชฌาย์เป็นพระอรหันต์  อย่างต่ำก็ต้องเป็นวิชชาสามหรืออภิญญาหกแน่  เพราะรู้เรื่องในใจดี  รู้กฎของกรรมดี  ท่านต้องการพิสูจน์ผลว่า  คนไม่ให้ทานนั้นมันมีผลเป็นอย่างไร

วันที่สอง  ชาวบ้านบอกว่า  "วานนี้เราใส่หน้าไม่ถึงหลัง วันนี้รวมกันใส่จากหลังมาหาหน้า"  พอจะถึงองค์หน้าข้าวหมดพอดี แต่ความจริงเขาตั้งใจจะให้ถึง แต่กฎของกรรมมันบันดาลให้ตักข้าวหมด

วันที่สาม  อุปัชฌาย์บอกว่า

"เอาอย่างนี้ก็แล้วกัน  คุณยืนกลาง เขาจะใส่ทางไหนมันพอทั้งนั้น" เป็นอันว่าท่านยืนกลาง

วันที่สาม  ชาวบ้านบอกว่า  "วันต้นใส่หน้าไม่ถึงหลัง  วันที่สอง  ใส่หลังไม่ถึงหน้า  วันนี้เราแบ่งเป็นสองพวก  ใส่จากข้างหน้ามาหนึ่งพวก  ใส่จากข้างหลังมาหนึ่งพวก"  เขาก็ทำตามนั้น  ปรากฏว่าทั้งสองพวกพอจะถึงองค์กลางข้าวหมดพอดี

วันที่สี่  พระอุปัชฌาย์บอกว่า   "ยืนรองฉัน  มันใส่แบบไหนถึงทั้งนั้น"

ในวันต่อมาเขาใส่บาตรตามระเบียบ  ใส่บาตรที่ 1 เขาไม่เห็นบาตรที่ 2 ไปใส่บาตรที่ 3 พอวันต่อมาอุปัชฌาย์บอกว่า "คุณยืนรองฉัน"  ท่านเอามือจับบาตรไว้  เขาจึงเห็นบาตรของท่าน

นี่การให้ทานถ้าบารมีไม่เต็มจริง ๆ ถ้าไปโดนเข้าแบบนี้เราจะถูกความหิวทรมานขนาดไหน แต่นั้นบังเอิญเป็นบารมีของท่านเต็มจะได้เป็นพระอรหันต์ ยังต้องถูกทรมานจิตใจแบบนั้น  เห็นโทษเห็นทุกข์แห่งการเกิด อุปัชฌาย์แนะนำไม่นานนักท่านก็เป็นอรหันต์  เมื่อเป็นอรหันต์แล้วชาวบ้านก็เห็นบาตรเพราะเป็นผู้บริสุทธิ์แล้ว

นี่การให้ทานน่ะมีความสำคัญอย่างนี้นะ  จงอย่าคิดว่าเราต้องการเฉพาะนิพพาน  เราไม่ให้ทาน เราเอาเฉพาะศีลภาวนาอันนี้ไม่ได้ ท้องไม่อิ่ม มันภาวนาไม่ไหว มันจะตายเอา ดีไม่ดีมันเป็นโจร

การให้ทานของบรรดาท่านพุทธบริษัทเราจะต้องให้ ถ้าบุญบารมีของเรายังไม่เต็มเพียงใดเราก็เอาละ เราก็จะต้องใช้ต้องกิน แต่ถ้าบุญบารมีเต็ม เราก็จะมีความอุดมสมบูรณ์ อย่างตัวอย่าง ท่านสีวลี

ท่านพระสีวลีนี้  ชาติหนึ่งเป็นชาวป่า  วันนั้นเป็นวันที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า  ทรงพระนามว่า  พระพุทธกัสสปเทศน์บอกว่า

คนใดให้ทานด้วยตนเอง  เมื่อตายไปชาติหน้าจะมีโภคสมบัติมากแต่ไม่มีบริวารสมบัติ (ตามที่เล่ามาแล้ว)

บุคคลใดชักชวนบุคคลอื่น  แต่ไม่ให้ทานเองจะมีพวกมาก  แต่ยากจน

ให้ทานเองด้วย  ชวนบุคคลอื่นด้วย  เกิดไปชาติหน้าเป็นคนรวยด้วย มีพวกมากด้วย

แล้วก็ไม่ให้ทานด้วยตนเองด้วย  ไม่ชักชวนชาวบ้านด้วย เกิดเป็นคนยากจนไม่มีคนคบหาสมาคม ขอทานก็ยาก

ชาวบ้านจึงตั้งใจถวายทานกันอย่างหนัก  มีทุกอย่าง  แต่มันขาดน้ำผึ้งสด  หาเท่าไรก็ไม่ได้  ตั้งคนไว้ที่ประตูเมือง 4 ประตู ให้เงินไว้ 1,000 กหาปณะ (เท่ากับ 4,000 บาทสมัยนี้)  บอกว่า  "ถ้าใครเอาน้ำผึ้งสดมา  นำรวงผึ้งสดมา  จะซื้อจาก 1 กหาปณะ  ไปจนถึง 1,000 กหาปณะ"

พอดีท่านสีวลีเป็นชาวป่า  ท่านจะมาหาเพื่อนในเมือง  ไม่มีอะไรติดมือมาก็เลยเอาผึ้งมารวงหนึ่ง  พอพวกนั้นเห็นเข้าก็ขอซื้อ ตั้งแต่ 1 กหาปณะ  ถึง 1,000 กหาปณะ

ท่านบอกว่า "ฉันจะเอาไปให้เพื่อน"  ก็สงสัยว่าผึ้งรวงนี้จริง ๆ ราคาไม่ถึง 1 กหาปณะ  แต่เจ้าคนนี้ให้มาก ๆ คงจะสติไม่ดี หรืออาจจะมีเหตุใดเหตุหนึ่งเกิดขึ้นมีความจำเป็น จึงถามว่า

"ทำไมพวกท่านสติไม่ดีรึ ไอ้ผึ้งรวงหนึ่งราคาตั้ง 1,000 กหาปณะ ใครเขาซื้อเขาขายกัน ราคามันไม่ถึง 1 กหาปณะ"

เขาก็บอกว่า  "พวกเราจะทำบุญ แต่ว่าทุกสิ่งทุกอย่างมีหมด มันขาดอยู่น้ำผึ้งสดอย่างเดียว เราต้องการมีทุกอย่าง"

ท่านก็บอกว่า  "ถ้าซื้อไม่ขาย แต่จะเอาไปให้เพื่อน  แต่ว่าท่านจะให้ฉันร่วมบุญด้วยฉันให้"

ท่านสีวลีก็ให้เป็นการปิดรายการครบถ้วนพอดี  เขาขาดอย่างนั้นท่านปิดพอดี มันก็ปิดให้เต็ม

หลังจากชาตินั้นมาแล้ว  ท่านมาพบองค์สมเด็จพระประทีปแก้วเกิดในชาตินี้ มาเกิดในชาติหลัง นี่เขาบอกว่า   ท่านพระสีวลีนี่ไม่เคยมีโรคเลย  โรคภัยไข้เจ็บไม่เคยมี เป็นพระที่มีลาภจริง ๆ จะไปไหนก็ตาม คนก็ดีเทวดาก็ดีปรารภพระสีวลี  ถ้าพระสีวลีไปด้วยไม่มีคำว่าอด  จะมีความอุดมสมบูรณ์  แม้แต่เดินเข้าไปในป่าที่ไม่มีบ้าน

ในสมัยที่องค์สมเด็จพระพิชิตมารจะเข้าไปเยี่ยมพระเรวัตในป่าไม้สะแก ที่ว่าเป็นน้องพระสารีบุตร  อายุ 7 ปี  เป็นพระอรหันต์ปฏิสัมภิทาญาณ  เวลาเดินเข้าไป  ตอนจะไปเจอะถึงทาง 2 แพร่ง  พระพุทธเจ้าจึงได้ถามพระอานนท์ว่า  "อานนท์ทางไปหาพระเรวัตไปทางไหน"  ความจริงท่านทราบ

พระอานนท์บอกว่า  "ถ้าไปทางอ้อมทางนี้เดินทาง 60 โยชน์  มีบ้านบิณฑบาตตลอด   ทางนี้เป็นทางตรงเดินไป 30 โยชน์  ไม่มีบ้านใส่บาตร

สมเด็จพระบรมโลกนาถจึงทรงตรัสถามว่า "สีวลีมาหรือเปล่า" แต่ความจริงท่านรู้ว่ามา  แต่ต้องการจะประกาศความดี

พระอานนท์ก็กราบทูลว่า  "มาพระพุทธเจ้าข้า"

"ถ้าสีวลีมาตถาคตจะไปทางตรง"

พอพระพุทธเจ้าตัดสินใจว่าจะไปทางตรง  บรรดารุกขเทวดาและอากาศเทวดาทั้งหลายต่างคนต่างปรารภว่า  เวลานี้ หลวงพ่อสีวลีของเรามา  ความจริงพระโมคคัลลาน์  พระสารีบุตรก็ไป  พระพุทธเจ้าเสด็จด้วย  แต่เทวดาไม่ได้ปรารภถึงเลย  ปรารภเฉพาะท่านพระสีวลี  จึงเนรมิตเรือนแกล้ว กุฏิเป็นที่พัก  วัดเป็นที่พัก สำหรับพระ 500 รูป  เป็นเรือนแก้วไว้แต่ละโยชน์ๆ 1 โยชน์มี 1 วัด สร้าง 30 วัด เป็น 30 โยชน์

เมื่อพระพุทธเจ้าไปถึงวัดต่าง ๆ เขาก็แสดงตนเป็นคนธรรมดา  พระพุทธเจ้าท่านรู้ นิมนต์พักวัดท่านก็พัก  ตอนเช้าท่านนำอาหารการบริโภคเนรมิตจากจิตใจของเทวดาไม่ต้องหุง ถวายพระอิ่มหนำสำราญ แต่การที่เขามาถวายน่ะเขาปรารภพระสีวลีว่า  "เราจะนำอาหารไปถวายหลวงพ่อสีวลีของเรา"  เป็นอย่างนี้จนกระทั่งถึงสำนักของพระเรวัต

นี่แหละบรรดาเพื่อนภิกษุสามเณร  และญาติโยมพุทธบริษัท  ท่านพระสีวลีให้ทานด้วยรวงผึ้งรังเดียวปิดรายการ แต่ชาติหลังท่านมีความอุดมสมบูรณ์  คนที่มีความอุดมสมบูรณ์จะปฏิบัติธรรมมันก็ดี  ทำอะไรก็ดีทุกอย่าง  มีการคล่องตัว  รวมความว่ามีความปรารถนาสมหวัง  แม้แต่จิตใจคนบางประเภทก็ซื้อได้  แต่บางประเภทเราก็ซื้อใจเขาไม่ได้นะเงินน่ะ  แต่บางประเภทเวลานี้ก็ฟุ่มเฟือยมาก  การซื้อก็ซื้อด้วยเงินสะดวกอันนี้มีประโยชน์มาก

ฉะนั้นขอบรรดาท่านพุทธบริษัทหรือเพื่อนภิกษุสามเณรจงสนใจในการให้ทานให้มาก  เพราะว่าการให้ทานนี่ไม่ใช่จะหวังเฉพาะการร่ำรวยอย่างเดียว  การให้ทานเป็นปัจจัยของความสุขทั้งโลกนี้และโลกหน้า

การให้ทานนี่ขอพูดถึงอานิสงส์ของการให้ทานสักนิดหนึ่ง  คืออานิสงส์ของทานในชาติปัจจุบันเราจะเห็นได้ชัด ๆ จริง ๆ นั่นก็คือว่า  ผู้ให้ย่อมเป็นที่รักของบุคคลผู้รับ  คือว่าคนผู้ให้มีโอกาสชื่นใจว่า  เราได้ให้ทาน  แต่ว่าบางคนนะ  บางพวก  จอมอกตัญญูไม่รู้คุณคนนี่เยอะเหมือนกันนะ  อย่าลืมว่าผมโดนมาแล้ว  โดนมาตลอดชีวิต  ให้แล้วมันก็กัด  แต่ผมก็ไม่ได้ผูกใจเจ็บ  ผมถือว่าเป็นความชั่วของเขา  ผมไม่ยอมชั่วด้วย  ไอ้ผมนั่นก็เลวอยู่แล้ว  ถ้าจะไปโกรธเขาเข้า  มันจะเลวมากขึ้น  มันจะแบกไม่ไหว  เอาแค่ความเลวที่มีอยู่มันก็เดินตุปัดตุเป๋ไปแล้ว  เวลานี้ผมเดินตุปัดตุเป๋ไม่ตรงทาง  หนักความชั่ว  ความชั่วมีเยอะมหาศาล  แต่ว่าพวกนั้นเขากลั่นเขาแกล้ง  เขากินอิ่มเข้าไปแล้ว   เขาคิดจะฆ่าผม  คิดจะไล่ผม  เขาชุมนุมกันเยอะแยะ  เวลาที่พูดอยู่นี่ก็ยังมีร้องเรียนไปที่ไหน ๆ ไปลงหนังสือพิมพ์ ด่าบ้าง  ฟ้องไปทุกระดับ  จนกระทั่งสำนักนายก เขาหาว่าคนของผมโหดร้าย  แต่ผมไม่เคยแตะต้องอะไรเขาเลย  แต่พวกนี้เป็นอย่างไร ได้ประโยชน์มากเลย  คิดว่าถ้าผมไปเสียแล้ว  เขาจะได้ประโยชน์จากผม  หมายความว่าคนจะมาหาเขา  เขาจะร่ำรวย  เขานึกว่าผมรวย ก่อสร้างต่าง ๆ นานา  ญาติโยมท่านให้สร้าง  ญาติโยมท่านให้เก็บ  แต่จริง ๆ การก่อสร้างนี่เหน็ดเหนื่อยหนักใจหนักกาย  แต่เพื่อความดีของญาติโยมผมไม่เหนื่อย  ไม่หนัก  ผมปลื้มใจ   เพราะญาติโยมทำความดี  ทุกคนเขาจะพ้นทุกข์กัน  ฉะนั้นเราจะกักให้เขาให้อยู่ในแดนความทุกข์ยังไง  ต้องสนองสนับสนุนตามที่พระพุทธเจ้าสนับสนุนแบบไหนเราทำกันแบบนั้น

นี่แหละบรรดาเพื่อนภิกษุสามเณรทุกท่าน  ต้องจำไว้ว่าการให้ทานน่ะ  มันก็มีการสดุดแบบนี้  แต่เราจงอย่าคิด  คิดอย่างเดียวว่าจิตใจของเราเป็นสุข  สุขเพราะการเกื้อกูลแก่เพื่อน ในเมื่อเราให้เขา   ถ้ามีคนรัก  ไอ้คนรักเรามาก ๆ ก็มี  ไม่ใช่เลว  คนเลวมันมีน้อยกว่าคนดี    ให้ทานแก่บุคคลที่รู้จักคุณคนนี่มี  แต่เราอย่าไปคิด  คิดอย่างเดียว  ให้ทานเพื่อเป็นการสงเคราะห์  เรามีน้อยเราให้น้อย  เรามีมากให้มาก  ให้พอควร   อย่าให้เกินพอดี  อย่าให้เบียดเบียนตนเอง  อย่าให้ถึงกับตัวมีความทุกข์  ผลแห่งการให้ทานจริง ๆ มันก็มีประโยชน์ใหญ่  ไปที่ไหนมีแต่คนรู้จัก  ความจริงเราไม่รู้จัก  จำเขาไม่ได้หรอก  จำเขาไม่ได้จริง ๆ อย่างพวกท่านก็เคยไปกับผม  ไปถึงญาติโยมก็มาหากัน  ไปถึงก็หลวงพ่อ หลวงปู่  หลวงน้า  ผมก็มองหน้า  ผมจำไม่ได้แต่ว่าท่านมาด้วยความดี  ผมก็ปลื้มใจ   ผมก็ดีใจ  บางคราวท่านมากันมาก  ในที่บางแห่งจนกระทั่งผมฉันข้าวไม่ได้  ฉันข้าวไม่ได้ไม่ใช่ญาติโยมจะมากวนใจผมหรอก  ผมปลื้มใจในความดีของญาติโยม

นี่แหละบรรดาเพื่อนภิกษุสามเณรทั้งหลาย  การให้ทานน่ะชาติปัจจุบันเราก็มีความสุขมาก   ทั้งนี้เพราะอะไร  มีคนเขาสนใจเรามาก  ประคับประคองเรามาก  ป้องกันอันตรายให้  แต่อันตรายถ้ามันจะเกิดจากกฎของกรรมก็อย่าไปโทษว่าทานไม่ช่วยนะ  คิดไว้เสมอว่า กรรมที่เราทำไว้ในชาติก่อนมันตามมาเล่นงานเรายังไงก็ช่างมัน  ชาตินี้ทำหนีมันไปให้ได้ อันดับแรก เอาทานบารมีเข้าชนกับมันก่อน  เป็นปัจจัยส่วนหนึ่งที่ทำให้เราพอมีความสุข  คนที่เขาดีมีความกตัญญูรู้คุณ  เขาก็ให้การประคบประหงมเรา  ให้ความสนิทสนมกับเรา  เป็นที่รักของเรา  เราก็ชื่นใจในความสุข  เว้นไว้แต่คนจังไรที่มีความอกตัญญูไม่รู้คุณ  เขามีความทุกข์  ปล่อยให้เขาทุกข์ไปฝ่ายเดียว  เราอย่าทุกข์กับเขา  ถ้ากำลังใจของเราอย่างนี้ก็ถือว่า  เป็นทานที่มีกำลังยิ่งใหญ่  ชาตินี้มีความสุข  ชาติหน้าจะสุขยิ่งไปกว่านี้  ถ้าบังเอิญบารมีของเรายังไม่ถึงที่สุดในชาตินี้  ก็อาจจะไปตกในชาติหน้าอย่างท่าน  เมณฑกเศรษฐี  กับคณะก็ได้
(คัดย่อจากเรื่องบารมี 10 ในธัมมวิโมกข์ ฉบับที่ 52)

ไม่มีความคิดเห็น: